- Physical Layer มีส่วนประกอบคือ
- Bits > เป็นตัวกลางระหว่างผู้ส่งและผู้รับ
- Physical link > เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ส่งและผู้รับ
- Physical Media แบ่งเป็นประเภทได้ ดังนี้
- Guided media > การส่งผ่านตัวกลางแบบของแข็ง ได้แก่ copper, fiber, coax ซึ่งตัวกลางของแข็งสามารถแบ่งเป็นประเภทได้ ดังนี้
- Twisted Pair (TP) คือสายที่ใช้ทองแดง 2 เส้น พันกันเป็นเกลียว การที่ต้องพันเป็นเกลียวก็เพื่อที่จะลดสัญญาณรบกวนระหว่างเส้น ซึ่ง TP นี้ จะใช้ระบบสัญญาณไฟฟ้าเป็นตัวนำสัญญาณ
- Coaxial cable คือสายที่ใช้ทองแดง 2 เส้น เส้นหนึ่งเป็นเส้นตรงใช้เป็นแกน อีกเส้นพันอยู่รอบๆเส้นแรก แบ่งเป็น baseband ที่มีช่องต่อแค่ช่องเดียว ใช้ในสมัยก่อน และ broadband ที่มีช่องต่อหลายช่อง ใช้อยู่กันในปัจจุบัน ซึ่ง coaxial cable ก็ใช้ระบบสัญญาณไฟฟ้าเป็นตัวนำสัญญาณ
- Fiber optic cable คือสายใยแก้วนำแสง ที่ใช้แสงเป็นตัวนำสัญญาณ ทำให้ไม่มีสัญญาณรบกวน แต่มีราคาแพงทำให้ใช้กันเฉพาะระบบเครือข่ายขนาดใหญ่
- Unguided media > การส่งผ่านตัวกลางแบบอิสระ radio link types สามารถแบ่งเป็นประเภทได้ ดังนี้
- Terrestrial microwave เป็นคลื่นไมโครเวฟ เดินทางเป็นเส้นตรง และห้ามมีสิ่งขีดขวางการส่งสัญญาณ มีความเร็วสูงสุด 45Mbps
- LAN เช่น Wifi มีความปลอดภัยต่ำ และถูกรบกวนด้วยสภาพแวดล้อมได้ มีความเร็ว 2Mbps, 11Mbps, 54Mbps
- Wide-area เช่น สัญญาณโทรศัพท์มือถือ (GPRs, 3G) มีความเร็ว 100kbps
- Satellite จะเหมือนกับ คลื่นไมโครเวฟ มีอัตรความล่าช้า 270 msec
- Decimal and Binary
- Binary System
- การแปลงเลขฐาน 2 เป็น ฐาน 10 > นำเลขฐาน 2 ที่มี มาคูณตั้งแต่ 2ยกกำลัง0 ถึง 2ยกกำลัง7 ตามลำดับ โดยเริ่มทำจากตัวเลขที่อยู่หลังสุดก่อน แล้วจึงนำมาบวกกัน
- การแปลงเลขฐาน 10 เป็น ฐาน 2 > นำเลขฐาน 10 ที่มี มาหาร 2 แล้วเศษที่ได้ก็คือ เลขฐาน 2 โดยหารไปจนกระทั่งเหลือ 0 เศษที่ได้จากการหารครั้งสุดท้ายจะเป็นตัวแรกสุดของเลขฐาน 2 แล้วไล่ไปจนถึงเศษที่ได้จากการหารครั้งแรก ตามลำดับ - Hexadecimal Notation
- การแปลงเลขฐาน 2 เป็น ฐาน 16 > นำเลขฐาน 2 ที่มี มาแบ่งเป็นชุด ชุดหนึ่งมี 4 ตัว แล้วนำมาคูณตั้งแต่ 2ยกกำลัง0 ถึง 2ยกกำลัง3 ตามลำดับ โดยเริ่มทำจากตัวเลขที่อยู่หลังสุดก่อน แล้วจึงนำมาบวกกัน ก็จะได้เลขฐาน 16 หนึ่งตัว
- การแปลงเลขฐาน 16 เป็น ฐาน 2 > นำเลขฐาน 16 ที่มี มาหาร 2 แล้วเศษที่ได้ก็คือ เลขฐาน 2 โดยหารไปจนกระทั่งเหลือ 0 เศษที่ได้จากการหารครั้งสุดท้ายจะเป็นตัวแรกสุดของเลขฐาน 2 แล้วไล่ไปจนถึงเศษที่ได้จากการหารครั้งแรก ตามลำดับ เลขฐาน 16 หนึ่งตัวจะได้เลขฐาน 2 สี่ตัว(4 bits) - Octal Notation
- การแปลงเลขฐาน 2 เป็น ฐาน 8 > นำเลขฐาน 2 ที่มี มาแบ่งเป็นชุด ชุดหนึ่งมี 3 ตัว แล้วนำมาคูณตั้งแต่ 2ยกกำลัง0 ถึง 2ยกกำลัง2 ตามลำดับ โดยเริ่มทำจากตัวเลขที่อยู่หลังสุดก่อน แล้วจึงนำมาบวกกัน ก็จะได้เลขฐาน 8 หนึ่งตัว
- การแปลงเลขฐาน 8 เป็น ฐาน 2 > นำเลขฐาน 8 ที่มี มาหาร 2 แล้วเศษที่ได้ก็คือ เลขฐาน 2 โดยหารไปจนกระทั่งเหลือ 0 เศษที่ได้จากการหารครั้งสุดท้ายจะเป็นตัวแรกสุดของเลขฐาน 2 แล้วไล่ไปจนถึงเศษที่ได้จากการหารครั้งแรก ตามลำดับ เลขฐาน 8 หนึ่งตัวจะได้เลขฐาน 2 สามตัว(3 bits)
"CHAPTER 3"
Data:
- Data > ข้อมูล สามารถเป็นแบบ analog หรือ digital ก็ได้ ซึ่งการส่งข้อมูลเป็นการส่งแบบสัญญาณไฟฟ้า
- Analog data > ข้อมูลที่มีค่าต่อเนื่องกัน
- Digital data > ข้อมูลที่ค่าไม่ต่อเนื่องกัน
Signals:
- Signals > สัญญาณ สามารถเป็น analog หรือ digital ก็ได้
- Analog signals > สามารถมีค่าตัวแปรได้ไม่จำกัดภายในขอบเขต
- Digital signals > มีค่าตัวแปรที่จำกัด
ใน data communication จะใช้สัญญาณ analog แบบคงที่ และ ใช้สัญญาณ digital แบบไม่คงที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น